
ทุกวันนี้เมื่อโควิดเข้ามา โลกของเราก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนา แล้วโลกหลังโควิดจะเป็นอย่างไร เมื่อถามถึงความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา หลายคนคงนับนิ้วไม่ได้ แต่สำหรับความก้าวหน้าครั้งต่อไป นี่คือยุคที่เครือข่าย 5G, AI, Quantum Computing จะแสดงผลเต็มที่ เป็นไปได้ว่าเราอาจเห็นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกในอนาคต เราไปดูกันดีกว่าว่าโลกหลังโควิดในอนาคตสัก 10 ปี จะเป็นอย่างไร
1. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent-AI)
โลกหลังโควิดนั้น AI กำลังถูกพัฒนาและมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยความสามารถและศักยภาพอันเหลือเชื่อของ AI ในการเรียนรู้และประมวลผลจากสถานการณ์หรือประสบการณ์ในอดีต รวมทั้งการคำนวณ วิเคราะห์ และตัดสินใจเรื่องยากๆ บนฐานข้อมูลจำนวนมากได้ ทำ AI ไม่เพียงเข้ามามีบทบาทในงานที่ต้องใช้แรงงานในโรงงาน (blue-collar jobs) เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสเข้ามาทดแทนตำแหน่งงานบริหารที่สำคัญ (white-collar jobs) ที่ต้องการการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำด้วย อาทิ ผู้จัดการด้านการเงิน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริหารระดับสูง หรือแม้กระทั่ง CEO ในขณะที่ AI กำลังถูกพัฒนาขีดความสามารถเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือหรือทดแทนการทำหน้าที่ของมนุษย์ ผู้คนอาชีพสาขาต่าง ๆ ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตกงานเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
2. Deepfake AI ผู้ท้าทายทุกวงการ
สมัยก่อนเมื่อเราได้ยินเรื่องการแต่งภาพดาราดังทำของเสียหาย เรามักจะนึกถึงคนที่มีทักษะขั้นสูงใน Photoshop แต่เมื่อพูดถึง AI เรามีสิ่งที่เรียกว่า Deepfake AI ซึ่งขอข้อมูลใบหน้าและท่าทางที่เพียงพอเท่านั้น มันสามารถคัดลอกตัวตนของบุคคลนั้นและสร้างมันขึ้นมาได้ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่ไม่มีการบิดเบือน ในอดีต Deepfake AI ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการบันเทิง เช่น การสร้างภาพโป๊เปลือย แต่สำหรับสาขาที่จริงจังมากขึ้น เช่น การเงิน การเมือง ศาสนา ฯลฯ Deepfake AI จะกลายเป็นปัญหาทันที เพราะหากภาพของบุคคลสำคัญเช่นผู้นำประเทศมหาอำนาจถูกนำมาใช้เพื่อสร้างภาพใหม่ด้วย Deepfake AI และพูดคำที่ไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และนี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในโลกหลังโควิด
3. การวิเคราะห์ข้อมูลจะเปลี่ยนไปด้วย Federated Learning
หากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในโลกของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปและทำให้เราคุ้นเคยกับคำว่าแมชชีนเลิร์นนิงมากขึ้น ซึ่งอาจถึงเวลาต้องทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์ใหม่ Federated Learning
Federated Learning เกิดขึ้นเนื่องจากมนุษย์เรามีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เราต้องส่งข้อมูลจำนวนมากไปยังอัลกอริธึมบนคลาวด์ หรือเซิร์ฟเวอร์วิเคราะห์และเรียนรู้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาโซลูชันใหม่เพื่อจัดการกับข้อกังวลนี้ นั่นคือ แทนที่จะส่งข้อมูลไปยังอัลกอริธึมการประมวลผล จากนั้นระบบจะส่งอัลกอริธึมนั้นลงไปเพื่อค้นหาข้อมูลแทน
ในอดีต Federated Learning ถูกใช้โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเช่น Google หรือ Apple เพื่อส่งอัลกอริทึมเพื่อประมวลผลข้อมูลในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้แทน แต่ในอนาคต โลกหลังโควิดนั้นจะสามารถใช้ Federated Learning ทำให้พวกเขาสามารถศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวเหมือนที่เคยทำในอดีต
อีกสาขาหนึ่งที่ได้ประโยชน์จาก Federated Learning คือวงการการแพทย์ ซึ่งตามธรรมเนียมโรงพยาบาลมักจะเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำข้อมูลนั้นออกไปให้พ้นทาง ถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสในการฝึก AI ทางการแพทย์ให้ฉลาดขึ้นนั้นยาก เนื่องจากไม่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่พอที่จะเรียนรู้ แต่ด้วย Federated Learning นักพัฒนาสามารถส่งอัลกอริทึมไปยังฐานข้อมูลขนาดใหญ่นี้ได้ และเมื่อประมวลผลเสร็จแล้ว เพียงส่ง insite ที่ได้รับกลับมาที่ระบบก็เป็นอันเรียบร้อย
ทั้งหมดนี้คาดว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกเทคโนโลยีได้ไม่น้อยในโลกหลังโควิด เพราะข้อมูลที่เราเคยไม่สามารถเข้าถึงได้ในอดีต ขณะนี้ด้วย Federated Learning AI อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้แล้ว
4. รถยนต์ (Cars)
โลกหลังโควิด ปัจจุบันค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกูเกิ้ล เบนซ์ นิสสัน ออดี้ วอลโว่ เทสล่า ฯลฯ ต่างเร่งกันพัฒนาและทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างจริงจังกจนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกไปแล้ว ผลวิจัยขี้ว่ารถยนต์ไร้คนขับนั้นจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ปริมาณรถ และลดการใช้พลังงานลงได้มากถึง 90% ผลของเทคโนโลยีไร้คนขับจะทำให้มนุษย์มีความปลอดภัยและสะดวกในการเดินทางยิ่งขึ้น ช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด ลดการใช้พลังงานและปล่อยมลพิษสู่อากาศ รวมทั้งทำให้เกิดการเปลี่ยนโฉมของระบบการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ในอนาคตไปอย่างสิ้นเชิง อาทิ รถยนต์ไร้คนขับไม่มีการขับหลงทางและไม่ต้องวนหาที่จอดรถ ถนนอาจจะแคบลง เพราะไม่ต้องเว้นช่องไฟระหว่างรถมาก ความจำเป็นของไฟถนน ทางด่วน และป้ายจราจรจะลดลง ตลอดจนรถยนต์เองก็จะมีจำนวนลดลง เนื่องจากผู้คนเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีรถยนต์ส่วนตัวน้อยลง เนื่องจากระบบขนส่งใหม่อำนวยความสะดวกได้ดีกว่านั่นเอง
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ thaiastrology.net